วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

ประเภทของกีต้าร์

กีต้าร์มีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันคือ

1. กีต้าร์โปร่ง


กีต้าร์โปร่ง จะมีลักษณะที่เป็นไม้ มีรูปร่างโปร่ง และมีขนาดที่ใหญ่กว่ากีต้าร์ไฟฟ้า ซึ่งเสียงของกีต้าร์โปร่ง
จะมีเสียงที่นุ่มกว่า และสามารถที่จะพกพาไปเล่นที่ไหนก็ได้โดยที่ไม่ต้องมีอุปกรณ์ต่อเข้ากับลำโพงใดๆ

2.กีต้าร์ไฟฟ้า

กีต้าร์ไฟฟ้า จะมีลักษณะที่ผอมเพียวกว่ากีต้าร์โปร่งมาก ซึ่งกีต้าร์ไฟฟ้าจะมีเสียงที่เปลี่ยนไปตามเทคนิคและอุปกรณ์ต่างๆที่ต่อเข้ากับตัวกีต้าร์เอง ซึ่งอุปกรณ์เหล่านี้เราเรียกว่า effect กีต้าร์ และกีต้าร์ไฟฟ้าไม่สามารถเล่นได้ถ้าไม่มีลำโพงแอม



ทุกคนรู้จักกีต้าร์ กันดีพอหรือยัง?


กีต้าร์ถือเป็นเครื่องดนตรีสากลที่แพร่หลายที่สุดก็ว่าได้นะครับ เพราะไม่ว่าจะชนชาติใดก็ตาม ล้วนแต่นิยม เล่นกันทั้งสิ้น อาจเป็นเพราะ "กีต้าร์"



เป็นเครื่องดนตรีที่เข้าได้กับทุกยุคทุกสมัยเล่นได้หลากหลาย และสามารถพกพาไปในที่ต่างๆได้ง่าย แต่การที่เราจะเล่น ทราบหรือไม่ว่ากีต้าร์ มีประวัติความเป็นมา และวิวัฒนาการอย่างไร? ใครเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้นเป็นคนแรก? ลองอ่านดูเล่นๆพอเป็นความรู้นะครับ
ประวัติความเป็นมา
กีตาร์ถือเป็นเครื่องดนตรีที่เก่าแก่ที่สุดชนิดหนึ่งของมนุษย์เพียงแต่ชื่อเรียกและรูปร่างย่อมแตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัย ซึ่งเริ่มเป็นที่นิยมในแถบเปอร์เซียและตะวันออกกลางหลายประเทศต่อมาได้เผยแพร่ไปยังกรุงโรมโดยชาวโรมันหรือชาวมัวร์ จากนั้นก็เริ่มได้รับความนิยมในสเปน ในยุโรปกีตาร์มักเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูง และมีเชื้อพระวงศ์หลายพระองค์ที่ให้ความสนใจและศึกษาอย่างเช่น Queen Elizabeth I ซึ่งโปรดกับ Lute lซึ่งถือว่าเป็นต้นแบบของกีตาร์ก็ว่าได้ แต่การพัฒนาที่แท้จริงนั้นได้เกิดจากการที่นักดนตรีได้นำมันไปแสดงหรือเล่นร่วมกับวงดนตรีของประชาชนทั่ว ๆ ไปทำให้มีการเผยแพร่ไปยังระดับประชาชนจนได้มีการนำไปผสมผสานเข้ากับเพลงพื้นบ้านทั่ว ๆ ไปและเกิดแนวดนตรีในแบบต่าง ๆ มากขึ้น
Fernando Sor
ผู้หนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงเมื่อพูดถึงประวัติของกีตาร์ก็คือ Fernando Sor ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญและมีอิทธิพลต่อวงการกีตาร์เป็นอันมากเนื่องจาการอุทิศตนให้กับการพัฒนารูปแบบการเล่นกีตาร์เทคนิคต่าง ๆ และได้แต่งตำราไว้มากมาย ในปี 1813 เขาเดินทางไปยังปารีตซึ่งเขาได้รับความสำเร็จและความนิยมอย่างมาก จากนั้นก็ได้เดินทางไปยังลอนดอนโดยพระราชูปถัมป์ของ Duke of Sussex และที่นั่นการแสดงของเขาทำให้กีตาร์เริ่มได้รับความนิยม จากอังกฤษเขาได้เดินทางไปยังปรัสเซีย รัสเซียและได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวเมืองเซนต์ ปีเตอร์เบิร์ก ซึ่งที่นั่นเขาได้แต่งเพลงที่มีความสำคัญอย่างมากเพลงหนึ่งถวายแก่พระเจ้า Nicolus I จากนั้นเขาก็ได้กลับมายังปารีตจนกระทั่งเสียชีวิตเมื่อปี 1839 หลังจากนั้นได้มีการเรียนีการสอนทฤษฎีกีตาร์ที่เด่นชัดและสมบูรณ์มากขึ้น ทำให้กีตาร์ได้รับการพัฒนาอย่างมาก หลังจากนั้นมีอีกผู้หนึ่งที่มีความสำคัญต่อกีตาร์เช่นกันคือ Francisco Tarrega (1854-1909) ซึ่งเกิดมาในครอบครัวที่ยากจนแต่ด้วยความสามารถด้านดนตรีของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จจนได้จากการแสดง ณ Alhambra Theater จากนั้นเขาได้เดินทางไปยัง Valencia, Lyons และ Paris เขาได้รับการยกย่องว่าได้รวมเอาคุณสมบัติของเครื่องดนตรี 3 ชนิดมารวมกันคือ ไวโอลิน, เปียโน และ รวมเข้ากับเสียงของกีตาร์ได้อย่างไพเราะกลมกลืน ทุกคนที่ได้ฟังเขาเล่นต่างบอกว่าเขาเล่นได้อย่างมีเอกลักษณ์และสำเนียงที่มีความไพเราะน่าทึ่ง หลังจากเขาประสบความสำเร็จใน London, Brussels, Berne และ Rome เขาก็ได้เดินทางกลับบ้านและได้เริ่มอุทิศตนให้กับการแต่งเพลงและสอนกีตาร์อย่างจริงจัง ซึ่งนักกีตาร์ในรุ่นหลัง ๆ ได้ยกย่องว่าเขาเป็นผู้ริเริ่มการสอนกีตาร์ยุคใหม่
Francisco Tarrega

อีกคนหนึ่งที่จะขาดไม่ได้คือ Andres Sergovia ผู้ซึ่งเดินทางแสดงและเผยแพร่กีตาร์มาแล้วเกือบทั่วโลกเพื่อให้คนได้รู้จักกีตาร์มากขึ้น (แต่คงไม่ได้มาเมืองไทยน่ะครับ) ทั้งการแสดงเดี่ยวหรือเล่นกับวงออเคสตร้า จนเป็นแรงบันดาลใจให้มีการแต่งตำราและบทเพลงของกีตาร์ขึ้นมาอีกมากมาย อันเนื่องมาจากการเผยแพร่ความรู้ในเรื่องกีตาร์อย่างเปิดเผยและจริงจังของเขาผู้นี้ นอกจากนี้ผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ทำให้ประวัติศาสตร์กีตาร์เปลี่ยนหน้าใหม่เพราะทำให้นักีตาร์ได้มีโอกาสแสดงใน concert hall มากขึ้น และทำให้เกิดครูและหลักสูตรกีตาร์ขึ้นในโรงเรียนดนตรีอีกด้วย


Andres Segovia

วิวัฒนาการของกีตาร์


ในหลายปีที่ผ่านมา มีผู้รู้เกี่ยวกับกีตาร์และนักประวัติศาสตร์ได้เสนอทฤษฎีที่ว่า Persian ud เป็นบรรพบุรุษของกีตาร์ โดยอ้างว่านักกีตาร์ชาวสเปนค่อยๆ พัฒนาจากเครื่องดีด (Lute) ชนิดนี้ให้เหมือนเครื่องสาย (instrument) หลังจากที่พวก Moors ได้นำ เครื่องสาย (instrument) เข้าไปในสเปน เมื่อพวก Moors ได้บุกรุกเข้าไปในคาบสมุทร Iberian 711 ปีก่อนคริสตกาล อย่างไรก็ตามเมื่อเร็วๆนี้ มีการวิจัยและค้นคว้าพบว่ากีตาร์ 6 สายคู่ หรือที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน ได้มีวิวัฒนาการที่แตกต่างกัน


กีตาร์รุ่นแรกนั้นเหมือนเครื่องสาย (instrument) ที่ปรากฏในบันทึกในราว ค.ศ. 1400 ในทางโบราณคดีคิดว่าคงได้มาจากกำแพงเมืองของชาว Hittite ซึ่งเคยมีถิ่นฐานอยู่ที่ Hlaja Huyuk. ซึ่งมีการแสดงให้เห็นว่า นักดนตรีชาว Hittite มีการเล่นกีตาร์ที่มีลักษณะคอยาวค่อนข้างไปทาง Tanbur มากกว่า ในช่วงระยะเวลาของประวัติศาสตร์เครื่องสายที่มีชื่อเสียงของถิ่นนี้คือ Tanbur ถึงแม้ว่าจะมีการทำ Fretted หรือ Marked neck. ซึ่งมีลักษณะพิเศษคือมีรูปทรงเป็นลักษณะถ้วย ดังที่มีการโต้แย้งกันเกี่ยวกับรูปทรงของกีตาร์ มาจนทุกวันนี้ คำว่ากีตาร์นั้น มีที่มาจากภาษาเปอร์เซีย (persia) 2 คำ คำแรกคือ Tar มีความหมายว่า ลวด เส้น ส่วนคำว่า Char มีความหมายว่า สี่ หรือสี่เส้น แต่ถึงกระนั้น คำว่า Char-tar ยังคงใช้สำหรับเครื่องสาย 4 สาย จากที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จึงเป็นต้นแบบในการทำเครื่องสายที่มี 4 สาย ในปีต่อมาชื่อของ Char-Tar ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนกลายเป็นคำว่ากีตาร์ (guitar) ซึ่งเป็นภาษาสเปน จนเป็นที่แพร่หลายในยุโรป มีเพียงโปรตุเกส (Portugal) ที่ยังคงใช้คำว่า Violao แทนคำว่า กีตาร์ คำว่า Violao มาจากคำว่า Fidicula ซึ่งเป็นภาษาลาติน มีความหมายว่า เครื่องสาย.

คำว่า Tanbur และ Chartars ปรากฏในภาษากรีกว่า Tanbur ใน ค.ศ. 300 หลังจากที่โรมันได้มีการพัฒนาจนเป็นคำว่า Tanbur ในราว ก่อน ค.ศ. 300 ซึ่งเครื่องสายทั้ง 2 อย่างที่กล่าวมาก็คือ Chartars นั่นเอง มีสิ่งที่ยืนยันว่า โรมันได้นำ Tanburs เข้าไปในแหลม Iberian ก่อนค.ศ. 476 เป็นเวลาเกือบ 3 ศตวรรษ ก่อนที่พวก Moors จะบุกรุกเข้าไปในสเปน และด้วยเหตุนี้ Tanbur ของโรมัน จึงพัฒนาไปเป็นคำว่า กีตาร์ร่า มอริสคา (Guitarra Morisca) และกีตาร่า ลาติน่า (Guitarra Latina ) ทั้ง Guitarra Morisca และ Guitarra Latina มีลักษณะเหมือนเครื่องสาย (instrument ) มีปรากฏชัดเจนในเอกสารชื่อ “The Cantigas of Alfonso The Wise” ซึ่งเป็นเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในปี ค.ศ. 1270 ก่อนคริสตกาล Guitarra latina นั้นจะมีพื้นหลังแบนราบ เหมือนกับกีตาร์สมัยใหม่ และตรง Soundboard จะมี ช่อง หรือ รู ซึ่งเป็นที่สำหรับลวดหรือเส้นลวดขึงผ่านเหนือ Soundboard ใช้สำหรับเล่น คอร์ด และเป็นเครื่องนำทางของเครื่อง Vihuela ส่วน Guitarra Mosisca มีพื้นหลังโค้ง Fingerboard (ส่วนคอ) มีขนาดใหญ่ และตัว Soundboard จะมี Soundholes (ช่องเสียง) หลายตัวใช้สำหรับเล่น เมโลดี้ (Melodies)

ต่อมาเครื่องสายชนิดนี้ได้เจริญแพร่หลายเข้าไปในกลุ่มพวกชนชั้นสูงรวมทั้ง Vihuela (ซึ่งมี 6 คู่สาย ซึ่งมี Tuned คือ G C F A D G ) ซึ่งมีอิทธิพลต่อราชสำนักของสเปน และโปรตุเกส ในระหว่างศตวรรษที่ 16 กีตาร์ 4 สายคู่ (คือมี Tuned C F A D ) อย่างเดียวกับสี่สายกลางของ Vihuela ซึ่งใช้ในพวก Troubadours เป็นส่วนใหญ่เพื่อประกอบบทเพลงและการเต้นรำ
ในยุโรปทั้ง Lute และ Vihuela ค่อยๆ หมดความนิยมลงจนเลิกใช้ ในปลายศตวรรษที่ 17 lute นั้นเสียหายจากการต่อเติมสาย (strings) ที่มากเกินไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้เหมือนกับของเดิม (รวมทั้งการตั้งโทนเสียงด้วย) เมื่อการตั้งเสียงของกีตาร์ 4 สายคู่เปลี่ยนไปเป็น D G B E และมีการเพิ่มคอร์ดที่ 5 (ซึ่งอยู่ต่ำกว่าคอร์ด A) ดังนี้เอง Vihuela จึงเริ่มหมดความนิยมลง


เชื่อกันว่านักกวี และนักดนตรีชาวสเปนชื่อ Vicente Espinel (ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1551-1624) ได้เพิ่มสายที่ 5 ของกีตาร์ 4 สายคู่ ในเวลานั้นกีตาร์ 6 สายได้เริ่มเข้าไปมีบทบาทในปลายศตวรรษที่ 17 จึงทำให้ Vihuela ค่อยๆ สาบสูญไป ไม่ปรากฏเป็นที่แน่ชัดว่ามีการเพิ่มสาย (string) ที่ 6 ลงไปในสมัยใด แต่นักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าน่าจะเกิดขึ้นในราว ค.ศ. 1780 และค่อนข้างมั่นใจว่าเกิดขึ้นพร้อมกันใน 2 ประเทศคือ อิตาลี และ เยอรมันนี แต่ผู้รู้บางท่านให้ข้อคิดว่าน่าจะเกิดการวิวัฒนาการในประเทศฝรั่งเศส (ระยะเวลาที่ Chitarra Frances เข้าไปมีบทบาทโดยที่ชาวอิตาเลียนมักจะพูดถึงเครื่องสาย สายเดี่ยว (Single string) โดยไม่คำนึงถึงจำนวนสาย) เชื่อกันว่า Jakob August Otto ชาวเยอรมัน เป็นบุคคลแรกที่ทำกีตาร์ 6 สาย โดยการเพิ่ม คอร์ด ที่ต่ำกว่า คอร์ด E ในราว ค.ศ. 1790 แต่ในปัจจุบัน มีการยืนยันว่า กีตาร์ 6 สายตัวแรกนั้นน่าจะมีการทำในอิตาลีในกลางศตวรรษที่ 18
ใน 1800 ประเทศทั่วยุโรป ได้ละทิ้งกีตาร์ ห้าสายคู่ และ กีตาร์ 6 สายคู่ และหันไปให้การสนับสนุนกีตาร์ 6 สายเดี่ยว ในรัสเซียก็เช่นกัน กีตาร์ 7 สาย ได้ถูกพัฒนาขึ้นโดยนักกีตาร์ชื่อ Andrei Ossipouitch Sychr (1772-1850) ซึ่งมี Tuned (การตั้งเสียง) แบบ D G B D G B D และยังคงเป็นที่ชื่นชอบและมีชื่อเสียงอยู่หลายปี ในหลายประเทศทั่วโลก


Jakob August Otto

Luigi Boccherini (1743-1805) นักแต่งเพลงชาวอิตาเลียนได้ให้แนวคิดและรสนิยมของดนตรีที่ถูกต้อง โดยดัดแปลงให้เหมาะ โดยการรวมเข้าไว้ในส่วนต่างๆ ของกีตาร์ เขาทำในสเปนภายใต้การสนับสนุนของ Marquis de Benavente ซึ่งเป็นนักกีตาร์สมัครเล่นที่มีศรัทธาอย่างแรงกล้า ซึ่งอยู่ในราว ค.ศ. 17960 และใน ค.ศ. 1800 Virtuosos ของกีตาร์คลาสสิก 6 สาย ได้เริ่มปรากฏขึ้นในหลายประเทศทั่วยุโรป และเป็นยุคทองยุคแรกของกีตาร์คลาสสิกที่เริ่มเกิดขึ้น


ในเวลาเดียวกัน ยุคทองของกีตาร์ก็เริ่มขึ้นในสเปนและอิตาลี ใน ค.ศ. 1775 เช่นกัน การปรากฏของกีตาร์ 6 สายเดี่ยว ตัวแรกเกิดขึ้นในยุคแรกของ ศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีการพัฒนาของเครื่องสาย Fan strutting มีการใช้ลวดลายของไม้เพิ่มเข้าไปในรายละเอียดในส่วนหลังของ Soundboard ของกีตาร์ แนวไม้ไม่เพียงแต่จะช่วยกระจายคลื่นเสียงตาม Soundboard เท่านั้น แต่ยังทำให้ Soundboard แข็งแรง มีรูปทรงที่บางกว่า และยังสามารถ สั่นสะเทือนได้อย่างอิสระมากว่า ในขณะเดียวกัน ก็มีการเปลี่ยนแปลง และแพร่หลายของ Fan strutting ในปี 1800-1980 มีการพัฒนาทีละน้อยของเครื่องสายใน 3 พื้นที่ใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์รวมเทคนิคของนักกีตาร์ เป็นที่สะสมสิ่งของหรือแหล่งความรู้ของกีตาร์และเป็นแหล่งที่เกิดของเครื่องสาย มีการพัฒนาที่คล้ายคลึงกันในสเปนและขยายเข้าไปในอิตาลี ในตอนปลายศตวรรษที่ 18 และในศตวรรษที่ 19 เป็นช่วงเวลาที่เกิดความเสื่อมความนิยมของกีตาร์ โดยมีเครื่องสาย Orchestral และ Keyboard เข้ามาแทน มันเริ่มขึ้นในสเปนในปลายศตวรรษที่ 19 และวิวัฒนาการเป็นกีตาร์คลาสสิก โดยมี 2 นักดนตรีคือ Antonio de Torres Jurado และ นักดนตรียอดเยี่ยม Francisco Tarrega เป็นผู้เผยแพร่ โดย Torres เป็นแรงบันดาลใจเริ่มแรกให้นักดนตรี Julian Arcas คิดค้นพัฒนาตัวกีตาร์ให้ใหญ่ขึ้น และมี Fingerboard ที่กว้างขึ้น นอกจากนั้น Francisco Tarrega ยังได้พัฒนาคิดค้นเทคนิคการเล่นใหม่ ๆ จนทำให้นักดนตรีมีความทราบซึ้งและรับรู้สิ่งที่ซ่อนเร้นในกีตาร์ ในครึ่งศตวรรษที่ 20 ผลงานของเขาได้ถูกเผยแพร่โดยนักกีตาร์ของชาวสเปน หนึ่งในนั้นก็มี Andres Segovia ด้วย Segovia ผู้ซึ่งได้ร่วมมือต่อต้านสงครามครูเสด เป็นเวลาเกือบ 80 ปี เป็นผู้ให้การสนับสนุนในเรื่องดนตรีเครื่องสาย
สงครามครูเสดนี้ลงท้ายด้วยความสำเร็จ และทุกวันนี้กีตาร์กลายเป็นเครื่องสายคลาสสิกที่มีอิทธิพล ในตอนปลายศตวรรษที่ 18 เป็นที่รู้กันดีว่า นักออร์แกน คือบาทหลวง Basilio ซึ่งเป็นนักบวชของ Citeaux มีความสนใจ กีตาร์ เขาได้พัฒนาเทคนิคการบรรเลงเดี่ยว และจากความสนใจ ในทางดนตรีของเขานี้เอง ทำให้เขาเป็นที่รู้จักดีในสเปน เขาได้ถูกขอร้องให้เล่นกีตาร์ให้เจ้าฟ้าชาย Charles ที่ 4 ของสเปนฟัง และหลังจากนั้นเขาได้กลายเป็นครูฝึกสอนให้กับราชินี Marie Louise

Basilio ซึ่งมีชื่อจริงว่า Miguel Garcia ได้มีอิทธิพลที่สำคัญต่อนักดนตรี 2 คน ในศตวรรษที่ 18 คือ Fernando Ferandiere และ Don Federico Moretti ในปี 1799 Ferrandiere ได้เผยแพร่ วิธีการ การใช้เครื่องหมายของกีตาร์ 6 สาย ซึ่งได้แก่ Arte de tocar la Guitarra Espanola และ Moretti ยังได้เผยแพร่หนังสือของเขาชื่อ “Principios para tocar la guitarra de seis ordenes” มีผู้รู้ได้ให้ข้อแนะนำเอาไว้ในหนังสือชื่อ “Obra para Guitarra del sexsto orden ซึ่งถูกเผยแพร่ในปี 1780 โดยนักกีตาร์ชื่อ Antonio Ballesteros.


สาระสำคัญของการวิวัฒนาการของเครื่องสาย ในตอนต้นของศตวรรษที่ 19 มีสิ่งหนึ่งที่ยังคงพัฒนามาจนกระทั่งทุกวันนี้ นั่นก็คือ ความร่วมมือกันระหว่าง นักกีตาร์ และผู้ทำกีตาร์ในการปรับปรุงคุณภาพเสียงและความกังวาลของเสียงของเครื่องสาย Fernando Sor ซึ่งทำงานใกล้ชิดกับ Rene Francois Lacote ในฝรั่งเศส และ Louis Panormo ในอังกฤษ ส่วน Luigi Legnani ทำงานกับ Staufer และในตอนปลายศตวรรษ Julian Arcas เป็นเครื่องสายที่ถูกพัฒนาขึ้นให้เป็นกีตาร์คลาสสิกที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้ง Antonio de Torres Jurado ในสเปนด้วย

หลังจากปี 1860 กีตาร์ ยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องยอมรับว่า ดนตรีมีวัฏจักรเป็นวงกลมเช่นเดียวกับดนตรีเครื่องสาย นั่นคือ เริ่มเข้าสู่ยุคเสื่อมโทรม ดังมีสาเหตุที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมดังนี้

ผลของเพลงที่นักกีตาร์แต่งขึ้น แหล่งความรู้ของเครื่องสายถูกจำกัดในวงแคบเพราะไม่มีนักแต่งเพลงที่ยิ่งใหญ่มาเขียน Hector Berlioz (1803-1869) และ Franz Schubert (1797-1828) ทั้งคู่เป็นนักกีตาร์ แต่มีเพียง 2-3 เพลงเท่านั้นที่เขียนขึ้นโดยมีกีตาร์เป็นส่วนประกอบ ไม่มีใครที่เขียนเพลงที่มีกีตาร์เป็นส่วนประกอบ ถึงแม้ว่า Coste จะเริ่มอัดเสียงดนตรีของ Robert de Visee ในปี 1830 มีเพียงไม่กี่เพลงทีมีดนตรี เป็นที่ยอมรับในศตวรรษที่ผ่านมา ซึ่งถูกเขียนขึ้นสำหรับ Lute.

Andres Segovia

Vihuela และ guitar ก็ได้มีการลอกอัดเสียงสำหรับเครื่องสาย 6 สาย นอกจากเพลงที่ Sor และ Giulianii แต่งขึ้น จะมีคุณภาพ คือมีเสียงกีตาร์ แต่ก็ไม่ได้เอาไปเปรียบเทียบกับห้องสมุดขนาดใหญ่ ที่ซึ่งเป็นแหล่งความรู้ สำหรับเครื่องสายอื่นๆ การใช้กีตาร์เล่นในดนตรี Folk นั้น จะประกอบไปด้วยผู้ร้องและผู้เต้น

สิ่งอื่นๆ ที่ขึ้นชื่อของดนตรี ซึ่งต่ำกว่าการคาดคะเนในสายตาของคนส่วนใหญ่ของนักดนตรี และครูสอนดนตรีทั่วทั้งยุโรป ความเสียหายอันเป็นผลร้ายที่เกิดจากการโต้แย้งของกีตาร์ ในหลายปีที่ผ่านมาและยังคงดำเนินมาถึงปัจจุบัน ใน บางส่วนของโลกดนตรีคลาสสิก ยุคต้นของศตวรรษที่ 19 กีตาร์ทีมีขนาดเล็กก่อให้เกิดผลเสีย จากข้อบกพร่องของความกังวาลของเสียงซึ่งเป็นอุปสรรคในการเล่น เมื่อต้องเล่นรวมกับเครื่องสายอื่นๆ

นักกีตาร์ที่ยิ่งใหญ่ชาวสเปนชื่อ Francisco Tarrega (1854-1909) ผู้ซึ่งวางแนวทางในการจับกีตาร์ แรกเริ่มนั้นเขาเป็นนักเปียโนที่มีความสามารถ รางวัลแรกที่เขาชนะจากการแข่งขันประสานเสียงดนตรีไพเราะ และบทเพลงที่เขาแต่งขึ้น ที่ Conservatory ที่ เมือง Madrid. เขาเริ่มเล่นกีตาร์ตั้งแต่เด็ก เล่นมาเรื่อยๆ จนพัฒนาเทคนิคการเล่นเครื่องสายของเขา


ราชินี Marie Louise
Julian Arcas (1835-1882) เป็นผู้ริเริ่มและสนับสนุนให้ luthier Antonio Torres ให้ทำตัวกีตาร์ และคอที่มีขนาดกว้างขึ้น ต่อมาภายหลัง Torres ได้พัฒนาและแก้ไขรูปแบบของ Fan strutting ควบคู่ไปกับชนิดของ Bridge ถ้ากล่าวถึง Aguado ในผลงานของเขาในปี 1825 Tarrega ได้แนะการเล่นกีตาร์แนวใหม่กับกีตาร์ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและรูปทรงที่แตกต่างกัน เทคนิคที่เป็นประโยชน์อย่างง่ายในการเล่นกีตาร์ที่มีขนาดเล็กกว่า ก็สามารถดัดแปลงได้ Carulli และ Molino ได้ใช้ Footstools (ที่วางเท้า) ในการเล่นเรื่อยมาจนปี 1810 และยังคงเป็นประเพณีเรื่อยมา Carullia และนักประพันธ์เพื่อนร่วมชาติของเขาชื่อ Molino เขาอาศัยอยู่ในปารีส เขาได้รับการสนับสนุนในตำแหน่งนี้

ในศตวรรษที่ 20 เป็นยุคทองยุคที่ 2 ของกีตาร์คลาสสิก ยังคงเกิดขึ้นในสเปนซึ่งเป็นรากฐานของกีตาร์คลาสสิกในศตวรรษที่ 19 กีตาร์เป็นหัวใจของ Tarrega ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งโรงเรียนกีตาร์สมัยใหม่ และ Torres ยังเป็นบิดาของกีตาร์สมัยใหม่ด้วย นักกีตาร์ผู้ยิ่งใหญ่อีกคนคือ Andres Segovia ซึ่งฉายแววในทางดนตรีตั้งแต่อายุยังน้อย เขาไม่ใส่ใจกับคำแนะนำของนักดนตรีชาวสเปน เขาได้อุทิศตัวเองในการสร้างกีตาร์ และยกระดับให้เท่ากับเครื่องสายคลาสสิกอื่นๆ เขาไดัตัดสินใจทำและสิ่งที่เขาตัดสินใจไม่เพียงแต่การนำเสนอในรูปของการแสดง Concert เท่านั้น ยังเป็นแหล่งสะสมความรู้ทางดนตรีอีกด้วย และทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จนกระทั่ง อายุได้ 80 ปี จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความสำเร็จของเขาบรรลุถึงจุดหมายซึ่งไปไกลกว่าความฝัน

Segovia ยังคงถือธรรมเนียมของนักกีตาร์ในศตวรรษที่ 19 อยู่ โดยการทำงานร่วมกับผู้ทำกีตาร์ มีการแก้ไขปรับปรุงคุณภาพและความกังวาลของเสียง เขาทำงานกับครอบครัว ของ Ramirez เป็นแห่งแรก และต่อมาได้มีโอกาสร่วมงานกับ Hauser และ Fleta เขายังได้พัฒนา Nylon guitar string กับ luthier Albert Augus tine ในปี 1947 อีกด้วย และการพัฒนานี้นำไปสู่วิวัฒนาการของกีตาร์


Andres Segovia เป็นสัญญลักษณ์แห่งกีตาร์คลาสสิกที่สำคัญในศตวรรษที่ 20 เป็นรากฐานที่สำคัญจนทุกวันนี้ เราเป็นหนี้บุญคุณ Segovia อยู่ กีตาร์คลาสสิกได้ครอบงำ มีอิทธิพลและเติบโตขึ้น แต่อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน ในปี 1960 ได้เน้นการพัฒนาของกีตาร์ 10 สาย ที่เล่นโดย Narciso Yepes.

Jose Tomas ได้เล่นและสนับสนุนกีตาร์ 8 สาย เขาทำเหมือนกับ Belgian ซึ่งเป็นนักกีตาร์ Raphailla Smits ผู้ซึ่งสนับสนุนเครื่องสาย รวมทั้งการเก็บข้อมูลทางดนตรีโดย Mertz และ Coste

กีตาร์ 7 สาย (ซึ่งมีสาย อยู่เหนือคอร์ด E และอยู่ต่ำกว่าคอร์ด D ) ได้ถูกพัฒนาขึ้นในสวีเดน Goran Sollscher ได้เล่นกีตาร์ 7 สาย จนกระทั่งมีชื่อเสียง เว้นแต่ของ Maurice Ohana นักแต่งเพลงสมัยใหม่ ได้เขียนไว้สำหรับเครื่องสายชนิดพิเศษ

ในหลายศตวรรษที่ผ่านมามีการเพิ่มสาย (string) เข้าไปในเครื่องสายบ่อยครั้ง ทำให้ความผิดเพี้ยนของกีตาร์ 6 สาย หรือข้อสงสัยหมดไป แต่มาตรฐานของกีตาร์คลาสสิก 6 สาย ยังคงมีอิทธิพลต่อมาอีกหลายปี และต้องยอมรับว่า จำนวนของผู้เล่นเครื่องสายกีตาร์ นั้นก็มีวัฏจักรเหมือนกัน คือเป็นแหล่งสะสมความรู้ ผ่านต่อไปจนถึงยุครุ่งเรือง และมีความเสื่อมโทรมแฝงอยู่


เอิ้น เอิ้น..แนะนำตน


สวัสดีครับทุกคน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่หลงใหลในดนตรี"กีต้าร์" เหมือนกับทุกคน อะหละ ครับผมก็มีกีต้าร์อยู่หนึ่งตัวนะ YAMAHA ซะด้วยแต่ผมบอกตรง ตรง ผมเล่นไม่คอยดีเหมือน ยี่ห้อมันเลย แต่ผมก็พอเล่นได้นะพอเป็นเพลง ขี้หมูขี้หมา ฝักกันไปครับแต่ทุกคนต้องเริ่มต้น ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เพิ่งเริ่มต้นผมก็อยากให้ทุกคน ฝึกกีต้าร์นี้กันไปกับผม ด้วยกันเลยครับ

(ก็คงหวังแค่นี้หละครับ) ฉันจะเก่งดัง พี่เสก

ปล.zam88